Site Loader

ที่เด็ด บ้านผลบอล ผลบ้านบอล งานทุกงานสำคัญ”

ประโยคที่คนจำนวนไม่น้อย{แคลงใจ|สงสัย|คลางแคลง|ระแวง
ที่เด็ด บ้านผลบอล ผลบ้านบอล บางบุคคลก็คิดว่า “หากไม่มีเราสักคนจะเป็นอย่างไร” บางคนก็มีความคิดว่า “แม้ไม่มีพวกเรา เขาก็อยู่กันได้” กล่าวถึงประเด็นการดำเนินการ ถ้าเกิดคุณกำลังจะลาออก ความคิดคุณจะเป็นแบบไหน? หากไม่มีพวกเราเขาปฏิบัติงานกันได้ไหม? หรือ พวกเราการทำงานของพวกเราสำคัญหรือเปล่านะ?
“งานทุกงานสำคัญ” ประโยคที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยระแวง ยิ่งสำหรับการดำเนินงานที่จำต้องจบไปวันต่อวัน พวกเราปฏิบัติงานนี้ไม่เห็นมีค่า มีความหมายอะไร ซ้ำรายได้ที่รับก็ยังสะท้อนให้รู้สึกด้วยอีก แน่นอนว่ามันย่อมคิดว่า  บ้านผลบอล

“ไม่สำคัญ”แม้กระนั้นหากเราอยู่ในสถานะผู้ว่าจ้างเมื่อใด พวกเราบางทีอาจกล้าพูดได้ว่าทุกงานสำคัญจริงๆเนื่องจากว่าไม่มีผู้ว่าจ้างใดต้องการเสียเงินให้ใครฟรีๆทั้งๆที่ไม่มีหน้าที่อะไร เพียงแค่อาจมีการลำดับความสำคัญไม่เท่ากันบ้างย่อมเป็นปกติ แม้กระนั้นให้บอกว่าไม่มีความจำเป็นเลย เป็นได้ยากถึงที่ตรงนี้พวกเราอาจคิดได้อีกล่ะว่า ก็สำคัญไม่มากมายไง

ที่เด็ด

“ผู้ใดกันทำก็ได้” อาจจะใช่ในส่วนหนึ่ง บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับว่า “ใคร” คนนั้นคืออะไร…งานไม่จำเป็นแม้กระนั้นคนสำคัญเป็นจริงที่ในหลายงาน หลายหน้าที่ที่ไม่มีเราเขาก็ปฏิบัติงานกันได้… ก็แล้วผู้ใดกันแน่ ที่เด็ด บ้านผลบอล

ผลบ้านบอล จะยอมปลดปล่อยให้ไม่มีใครทำล่ะ? ก็ย่อมจำเป็นต้องทำกันให้ได้ต่อไป แต่ทว่าคนไหนทำก็ได้ไม่ได้แปลว่า “ทำเป็นแบบเดียวกัน” ที่ตรงนี้แหละ “สำคัญ”แม้งานอาจมองไม่จำเป็น แต่ว่าผู้ที่ทำให้ “งานเรา” มีค่าขึ้นมาได้คือ

“ตัวเรา” แค่นั้น อย่างเช่น สมมุติว่าพวกเรามีบทบาทนับของ ที่เหมือนกับผู้ใดกันแน่ที่นับเลขเป็นก็ทำเป็น แม้กระนั้นพวกเรานับได้รวดเร็วทันใจ และไม่เคยผิดเลย แบบงี้ดูเริ่มจะผิดแผกแตกต่าง…ทีนี้จำนวนมากงานที่พวกเรามี

ความคิดว่าไม่สำคัญนั้น มักจะต้องทำกันคนจำนวนไม่น้อย ก็จะยิ่งมีการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง ความสำคัญได้มาก เพราะบุคคลอื่นนับผิดบ้าง นับช้าบ้าง เช่นนี้แหละ ถ้าเกิดเราเหมือนเขาเราก็ไม่สำคัญ…ผู้ใดกันแน่ทำก็ได้ จำต้องไม่ใช่เรา!โน่นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างง่ายๆพื้นฐาน

ซึ่งถ้าหากมากกว่านั้น ดังเช่น ถ้าเกิดเรานับเร็ว นับไม่พลาด แถมเวลาเรานับของ เรายังสังเกตพบอีกว่าของหรือสินค้านั้น แตกต่างจากปกติ มีตำหนิ เป็นประจำแบบนี้มันยิ่งทำให้เห็นว่า งานนับของในที่นี้ไม่มีผู้ใด “สำคัญไปกว่าพวกเรา”

แล้ว เพราะพวกเราคือที่สุดนักนับของแน่นอน ประเด็นอยู่ที่พวกเราทำเป็นหรือไม่?ส่วนหนึ่งการที่จะมีใครซักคนดำเนินการที่ดูจะไม่สำคัญแม้กระนั้นมีคุณค่าออกมาได้ เขาก็ต้อง “มองเห็นความสำคัญในงานตนเองก่อน”

ถึงจะเอาใจใส่ ตั้งอกตั้งใจทำเป็นเช่นนั้นว่าไหม?แล้วเมื่อเราปฏิบัติงานได้อย่างนี้ ย่อมได้โอกาสถูกเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหน้า หรือไปดำเนินการที่สำคัญมากขึ้นไปอีก หรือถ้าหากไม่มีผู้ใดให้คุณค่า ก็มีความเป็นไปได้ที่

ตรงนี้ หรืองานนี้มิได้เหมาะสมกับศักยภาพของเรา หากพวกเราก้าวออกไปเจอที่เหมาะสมกัน มันก็นำพาคุณประโยชน์ทั้งสองฝ่ายลองทบทวนดูดีๆอาจเห็นได้ว่า ทุกงาน “ผู้ใดกันแน่ทำก็ได้” ขึ้นกับทำแบบไหน ผู้จัดการ, ผู้บริหาร

ไปถึงเจ้าของกิจการ คนไหนก็เป็นไปได้ เพียงแค่ที่สุดแล้ว คำตอบแบบไหนอีกหนึ่งเรื่อง

ดังนั้น คนใดก็ทำเป็น ต้องไม่ใช่เรา ด้วยเหตุว่างานอะไรก็แล้วแต่คนจะทำแทนได้หรือเปล่านั้นอยู่ที่พวกเราให้ความสำคัญ และก็ทำมันออกมายังไงต่างหาก ไม่ใช่ที่ตัวงานเพียงอย่างเดียว

เราเคยเหลียวให้ความใส่ใจในสิ่งที่ทำมากพอหรือยัง?เพราะว่างานจะสำคัญหรือเปล่า บางทีอาจไม่ใช่อีกทั้ง ที่ตัวงาน หรือ ไม่ใช่ใครหรอกที่ทำให้งานสำคัญ “ผลงานต่างหากมันทำให้เห็นว่าคนใดสำคัญต่องานนั้น”
ณ จุดหนึ่ง งานที่มองดูกันว่าคนไหนกันแน่ทำก็ได้ แต่เขาก็อยากได้พวกเราไปทำในตรงนั้นพวกเราจึง ที่เด็ด บ้านผลบอล ผลบ้านบอล มีความคิดเห็นว่า เนื่องจากว่าเขามีความคิดเห็นว่างานนี้สำคัญยังไง จึงควรเป็นพวกเราเพียงแค่นั้น หากเป็นอย่างงี้มันจำเป็นต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนล่ะ งานถึงจะสำคัญ…

เคยไหมที่พวกเรามีความรู้และมีความเข้าใจ มีประสบการณ์ในสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ มากพอจนรู้เพราะว่า มันมีอีกด้าน อีกรูปแบบที่ดียิ่งกว่า ประมาณว่า หากพวกเราเปลี่ยนไปทำอย่างงั้น ผลสรุปบางสิ่งบางอย่างจะดีมากกว่าที่เป็น แต่พวกเราก็เลือกที่จะไม่ทำ…เป็นอีกครั้งที่เขียนบทความเรื่องหนึ่งอยู่ แล้วฉุกคิดอีกเรื่องขึ้นมา เหตุด้วยเรื่องที่จะเขียนนั้นเป็นเรื่องราวปัจจุบันนี้

ซึ่งบทความถ้าอยู่ในกระแสจะมีคนพอใจและก็อ่านมากกว่า พินิจได้ง่ายๆจากการวิธีการทำข่าวสารของสื่อจำนวนมาก…แต่ว่าผมกลับหยุดคิดและไม่อยากที่จะให้มันอิงกับตอนนี้มากเกินไป…
“ไม่อยากที่จะให้คนพึงพอใจเหรอ? ไม่อยากที่จะให้นักอ่านจำนวนมากหรือ?”คำตอบคง “ไม่ใช่” เขียนและย่อมอยากที่จะให้มีผู้อ่าน.. “แล้วเพราะอะไรไม่ทำในเมื่อมันน่าจะดีมากกว่า?”นั่นนะซินะ.. ก็เลยเปลี่ยนเป็นแง่คิด

หรือเรื่องราวเชิญชวนคิดทบทวนตนเองกันขึ้นมาในเมื่อดีมากกว่าแล้วเพราะเหตุไรไม่ทำ?มันอาจจะมีหลายเหตุผลตามแต่กันไปที่รู้สึกว่าบ้างก็รู้สึกตัว บ้างก็ไม่รู้ตัว

ผู้อื่นหรือแม้แต่เราอาจมองไปเองกล้วยๆเพียงแค่ว่า “ซุกซน” ก็ได้ “ดื้อด้าน” ก็ได้ ซึ่งเมื่อลองทวนตนเองดูน่าจะมีเหตุผลไม่กี่ประการดีในสายตาใครกันแน่?แบบไหนดีกว่ากัน? หลายเรื่องมันไม่มีเหตุผล หรือมีบรรทัดฐานแท้จริงมาวัดได้

ยกตัวอย่างที่คงจะแจ่มชัด เช่น ปัจจุบันนี้ เรียนปริญญาดีมากยิ่งกว่าไม่เรียนอยู่ไหม หรือ ทำงานไปเรียนไป กับ เรียนอย่างเดียวแบบไหนดีมากยิ่งกว่ากัน ซึ่งจุดมุ่งหมายแม้จะไปในทางเดียวกันคือ เสร็จในชีวิต มันก็ยากกล่าวว่าเลือกแบบไหนดี

มากยิ่งกว่ากันแท้จริงด้วยเหตุนี้เมื่อมีประโยคแนว คงจะแบบงั้น, เพราะเหตุใดไม่เลือกแบบงี้ ซึ่งมันก็บางทีอาจดีมากกว่าดังเขาว่า แต่ว่าพวกเราก็ไม่ทำ เพราะมันดีแค่สายตาเขา ความนึกคิดเขา…

ถ้าเกิดถามว่าแล้วพวกเราเลือกสิ่งนี้ทำไม ในเมื่อผลที่เกิดอาจคลุมเคลือ หรือยากสรุปแบบนี้ ส่วนมากพวกเราก็เลือกเอาที่ “ได้ประโยชน์เบื้องหน้า” หรือไม่ก็แค่ “สุขใจที่สุด” สำหรับการเลือกทำของเรานั่นเอง แต่ว่าก็มีข้อควรพิจารณาอยู่นะ…เงื่อนในใจ จิตไร้สำนึกจากข้อก่อนเป็นเพียงแค่ในมุมหนึ่ง เพราะบางเรื่องที่เราไม่เลือกทำ จริงๆเราอาจมีความคิดที่ดีเพียงพอ

ของพวกเราอยู่ก็เป็นไปได้ เพียงแต่มันเป็น เหตุผลใช่หรือเปล่า? หรือเพียงแค่ความรู้สึก? บางครั้งเราก็รู้สึกตัว บางครั้งก็ไม่รู้ตัวดังเช่น ขี้เกียจคร้าน ไม่มีแรงดึงดูดใจ ดิ้นรนเพราะเหตุใด หรือ เพราะอะไรต้องแข่งขันกับผู้ใดเขา บางโอกาสก็จริง บางคราวก็กำลังหลอกตัวเองอยู่ ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยมีเงื่อนขาดความมั่นใจ

และความเชื่อมั่น บ้างก็ผิดหวังจนชิน บ้างก็กลัวความล้มเหลวกระทั่งแปลงเป็นผู้ที่ถูกใจ

 

อยู่แม้กระนั้นในส่วนไม่เป็นอันตราย (Safe zone) จนกระทั่งไม่กล้าทำอะไร ถึงแม้ในสิ่งที่คงจะดีมากยิ่งกว่าก็ตาม…ไม่จริงหรอก ที่ไม่อยากชิงชัยถ้าพวกเราถามตนเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง มีหรือที่พวกเราไม่อยากอยู่ในจุดที่ดีมากกว่า มีการบรรลุผล ความภาคภูมิในความเจริญก้าวหน้า

ซึ่งมันไม่จริงหรอก ที่พวกเราไม่อยากชิงชัย ไหมอยากไปตรงนั้น ลองเป็นเวทีที่พวกเราเป็นต่อสิ มีความคิดว่าเหมาะสม หรือเคยชนะมาแล้วสิ พวกเราก็จะไม่ปล่อยจังหวะนั้นไปกล้วยๆแน่ๆ…แม้กระนั้น นี่ก็เป็นเพียงแค่อีกด้านของเรื่องที่ แม้มันมีสิ่งที่ดียิ่งกว่า แม้กระนั้น ฉันไม่ทำ เพราะเหตุว่าฉันมีเงื่อน ขี้แพ้ แม้กระนั้นไม่รับตัวเอง.. ซึ่งก็ใช่ว่าทุกคน เพราะว่าก็มีอีกมุมคือ…

ลึกๆแล้วมีเป้าหมายในใจถ้าหาก ที่เด็ด บ้านผลบอล ผลบ้านบอล ทวนตัวเองอย่างยอดเยี่ยมแล้ว การที่พวกเราทราบดีว่าอะไรดีกว่า แต่ว่าไม่ทำนั้น บางทีอาจเนื่องจากเรามีเป้าหมายอื่นที่แตกต่าง บางทีอาจเป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัว

เป้าหมายที่คนโดยมากมิได้คิดราวกับพวกเรา ก็ไม่ผิดอะไร แต่ย้ำว่า “ทบทวนก็ดีแล้ว” เช่นนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไม่มีใครรู้เรื่องอะไรไปกับพวกเราว่า ดีมากยิ่งกว่าเพราะเหตุใดไม่ทำ…ข้อสังเกตตัวเอง หรือข้อแตกต่าง

คือ หากอยู่ ณ จุดนี้พวกเราจะไม่กระวนกระวายใจสำหรับเพื่อการที่มีคนใดกันแน่เหนือกว่าหรือดีมากกว่าพวกเราในสิ่งที่พวกเราทำอยู่ (ไม่แอบอิจฉาริษยาในใจด้วย) ซ้ำยังมีความสุขในสิ่งที่ทำนั้นชัดเจน ก็เหมาะที่จะคิดแบบที่ว่า หากแม้มันจะดีมากยิ่งกว่า แต่ฉันไม่ทำ ด้วยเพราะว่าลึกๆเรามีเป้าหมายอื่นในใจกลับไปตรงที่ได้พูดว่า แล้วเพราะเหตุไรผมเลี่ยงบทความที่อยู่ในกระแส

ทั้งที่มันทำให้คนพอใจอ่านได้มากกว่า?ตอบอย่างไม่อายว่าที่จริงก็อยากให้ผู้อ่านไม่น้อยเลยทีเดียวแม้กระนั้นถ้าเกิดเขาเพียงแต่อ่านเพราะเหตุว่าพึงพอใจในกระแส เขาเหล่านั้นอาจมิได้แง่คิด มุมคิดอะไรก็ได้ หรือใช้ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นและก็ในบทความที่ไม่ต้องอิงกระแสนักถึงแม้คนอาจไม่สนใจในวันนี้ แม้กระนั้นมันสามารถดำรงอยู่ให้ผู้คนมาอ่านได้
จะลงทุนธุรกิจนี้รึ? มีทางหนีไฟหรือยัง?จะคบกับคนนี้หรอ? มีบันไดหนีไฟหรือยัง?

จะแปรไปทำงานนั้นเหรอ? มีทางหนีไฟหรือยัง?บันไดหนีไฟ.. มันเกี่ยวอะไรกันนะ?…สิ่งปลูกสร้างไม่ว่าจะบ้าน ตึก ใดๆมักเป็นของที่จำเป็นต้องลงทุนสูง แต่ละองค์ประกอบล้วนราคาแพง ปูพื้นด้วยสิ่งของอะไร มีผนังมากกั้นมาก

ก็จำเป็นต้องจ่ายมาก ขนาดกว้างยาวขนาดไหน ทุกๆตารางนิ้วคือสิ่งที่จำเป็นต้องจ่าย

ไปสำหรับอาคารที่โดยธรรมดาแม้สูงเกิน 3 ชั้นควรจะมีบันไดหนีไฟ ที่ส่วนใหญ่ เราไม่ค่อยได้ใช้กันการสร้างบันไดหนีไฟมีทั้งส่วนเกินเรื่องพื้นที่ ส่วนเกินหัวข้อการวางแบบ ส่วนเกินงบประมาณ

ดูไม่คุ้มต้นทุนเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆรวมทั้งบางทีอาจรู้สึกว่า ติดระบบคุ้มครองดีกว่า ประจำตัวพ่นน้ำอัตโนมัติ ติดเครื่องดับเพลิงเยอะๆก็ยังมัธยัสถ์รวมทั้งมองมีสาระกว่าคนไหนกันจะต้องการให้ไฟไหมกัน!?ด้วยเนื่องจากว่าบันไดหนีไฟจะถูกใช้ตามคุณประโยชน์มันจริงๆก็คือตอนกำเนิดไฟเผา แล้วใครกันแน่ต้องการที่จะให้กำเนิด

ไฟเผากันล่ะ? หรือไฟไหม้มันเกิดง่ายๆเสียที่ไหน ในยุคที่ข้อบังคับยังไม่บังคับส่วนมากก็เลยไม่สร้างทางหนีไฟกันนัก..แม้กระนั้นเชื่อว่าถ้าเราอยู่ในอาคารที่ไฟกำลังไหม้พวกเราอาจระลึกถึงทางหนีไฟมากยิ่งกว่ารอดูว่าสปริงเกอร์ (เครื่องพ่นน้ำ) จะดำเนินการไหม เราคงวิ่งหาทางลงไปจากตึกมากยิ่ง

กว่าหาอุปกรณ์ดับเพลิงไปช่วยเขาปิดไฟ และก็แน่ๆว่าย่อมมีที่ตกใจ

วิ่งหนีอย่างไร้แนวทาง…ทางหนีไฟ คล้ายทางออกของชีวิตถ้าเปรียบเทียบเป็นชีวิตของคนว่าไฟเป็นทุกข์ ไฟไหม้ก็คือทุกข์ร้ายแรง อาจจะไม่มีใครอยากเผชิญ แต่ว่ามันก็ได้โอกาสเกิดขึ้นได้ และกำเนิดง่ายดายยิ่งกว่าไฟลุกอาคารเสียอีก

แต่ว่าพวกเราก็มักไม่สร้าง “ทางหนีไฟ” หรือทางหนีไฟเอาไว้เหมือนกันคล้ายในปริศนาต่างๆที่เขียนไว้ภายในตอนต้น…ถ้าธุรกิจไปไม่ได้ เงินทุนสำรองย่อมเป็นทางหนีไฟหากเลิกกับเขาคนนี้ จะดำเนินชีวิตอย่างไร โน่นคือบันไดหนีไฟถ้าเกิดเปลี่ยนแปลงงานไปแล้วไม่ดี มีแผนสำหรับการสำรองยังไง มันก็คือบันไดหนีไฟ…เหล่านี้เป็นเพียงแบบอย่างส่วนใดส่วนหนึ่ง

ด้วยเหตุว่าไฟยังไม่ไหม้มันจึงไม่มีความสำคัญ ด้วยเหตุว่าเราแฮปปี้ดี หรือทุกข์ยากตรากตรำไม่มากมายการคิดอะไรเผื่อเช่นนี้จึงมองเสียเวลา…แน่ๆว่าหลายแบบมีมาได้มาไม่ได้ใช้ประโยชน์ย่อมสิ้นเปลือง เสียเวล่ำเวลา

แต่ว่าของบางสิ่ง “มีมิได้ใช้ ดียิ่งกว่าจะใช้แล้วไม่มี”แง่คิดเล็กๆวันนี้จากเรื่องบันไดหนีไฟ ที่พวกเราต้องมีไว้ เมื่อร้อนใจนักหนาอย่างน้อยก็ไม่ต้องวิ่งหนีอะไรอย่างไร้ทิศทาง แต่ว่าก็หวังว่าพวกเราอย่าจำต้องได้ใช้มันกันเลย…ข้อจำกัด มีไว้ขจัดพวกขี้แพ้” คุณมีความรู้สึกต่อประโยคนี้เช่นไร ส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจขึ้นอยู่กับว่า

“เราสารภาพหรือเปล่า ว่าเรามันขี้แพ้” ไม่แน่ว่าครั้งคราวหัวข้อนี้ อาจมีเรื่องที่เราจำต้องคิดใหม่สำหรับในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง…มั่นใจว่าเราส่วนมากอาจจะเคยเลิกล้มกระบวนการทำบางอย่างด้วย “ข้อกำหนด” อะไรสักอย่าง โดยบอกตัวเองทำนองว่า “เนื่องจากว่าแบบงั้น.. ด้วยเหตุว่าแบบนี้.. หรือ ถ้าหากว่าเป็นแบบนั้น.. ถ้าอย่างนี้..” ที่พวกเรามักคิดเพราะว่า

ผู้ที่ทำได้ไม่มีข้อจำกัดหรือข้อจำกัดอย่างพวกเรา เขามีต้นทุนดีมากกว่า เป็นไปได้มากกว่า อะไรก็ตามที่ดีกว่าพวกเราเอื้อให้เขาทำได้ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยคิดเช่นนี้ เจอเหตุการณ์นี้หลายครา แต่ก็ต้องการให้ทดลองทวนว่า

เพราะ “จำนวนมาก” มีความรู้สึกว่าจำต้องพบ ควรมีข้อกำหนดไงล่ะ คนที่เสร็จได้ก็เลยเป็นคน “ส่วนน้อย”แต่บางเรื่องมันก็มีข้อจำกัดจริงๆนะถึงกระนั้นพวกเราย่อมสงสัยว่า อะไรบางอย่างก็ควรจะมีบ้างล่ะข้อจำกัดน่ะ ก็บางครั้งก็อาจจะจริง

แม้กระนั้นถ้าหากบากบั่นคิดเทียบดู เช่น ถ้าเกิดจะเป็นนักกีฬาเก่งๆมันก็จะต้องมีรูปร่างที่เหมาะสม ก็เลยดีกว่าว่าไหม?ขอยกตัวอย่างกีฬาที่หลายๆคนรู้จักคือบอล รวมทั้งนักกีฬาที่โด่งดังในขณะนี้อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด กับ

ลิโอเนล เมสสิ ทั้งสองมีความเก่งกาจเป็นที่ยอมรับไม่มีความต่างกันเลย แต่โรนัลโดนั้น มีรูปร่างที่สูง กว่าเมสซิ ถึง 14 เซนติเมตร (184 กับ 170) แล้วก็หนักกว่าราว 10 โล นี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า รูปร่างอาจ “ไม่ใช่ข้อกำหนด” ดังที่คิดกันแบบผิวเผิน

ด้านหนึ่งพวกเราอาจคิดถกเถียงได้ว่า ก็ลองให้เมสซิไปเล่นกองหลังที่จำต้องใช้ร่างกายสูงใหญ่เบียดสู้สิ

แน่ๆมันก็อาจทุกข์ยากลำบาก แต่ว่านี่เป็นกรอบคิด (Mindset) ที่เพียรพยายามตีกรอบให้มีข้อกำหนด พวกเราจำเป็นต้องนึกให้ได้ว่า ถ้าหัวใจยังคงต้องการเป็นนักฟุตบอลตำแหน่งนี้ไม่เหมาะ เราก็ควรจะทดลองไปตำแหน่งอื่น ไปจนกระทั่งกีฬาประเภทอื่น

หรือแม้กระทั่งเกิดมาพิการพวกเราเป็นผู้แข่งขันกีฬาโอลิมปิกมิได้ แต่ว่าพาราลิมปิกยังมี !!เราบางทีอาจแพ้เวทีนี้ได้ แม้กระนั้นไม่สมควรแพ้ทุกเวทีสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องรู้เรื่องอย่างหนึ่งคือการแยกระหว่าง “ข้อกำหนด” กับ “ความเหมาะสม” รวมทั้งเป็นคนละเรื่องกับการที่เราเพียงแค่ “ดื้อดึง หรือ ดื้อดึง” คนมั่งคั่งชั้น 1-5 เขามิได้ทำธุรกิจเดียวกัน มันหมายความว่า

วิธีการการบรรลุผลนั้นมันใช่ว่าต้องมาในต้นแบบเดียวกัน…การที่เพียรพยายามสำเร็จในเรื่องหนึ่งมากๆแล้วรู้สึกว่าเห็นไหม “ก็ยังมีความจำกัด” อยู่ดี มันบางทีอาจเกิดเรื่องที่ไม่ผิด แม้กระนั้นจำเป็นต้องพินิจพิเคราะห์ที่ความเหมาะสมด้วย

เหมือนคำคมของผมที่เคยเขียนไว้ว่า “ต้นไม้สวยมิได้มีเฉพาะสีเขียว การบรรลุเป้าหมายของเรา ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นสิ่งเดียวกับคนอื่นๆ”ที่ไม่เป็นผลสำเร็จได้นั้นอาจเป็นเพียงการที่เราเพียงแค่พยายามเอาชนะบางสิ่ง การพยายามราวกับคนไหนกัน, พากเพียรเป็นคนไหนกันแน่, แค่ดันทุรัง หรือ เงื่อนในใจ ซึ่งรวมๆแล้ว “พวกเราบางทีอาจแพ้เวทีนี้ได้ แม้กระนั้นไม่ควรแพ้ทุกเวที”

ใช่ว่าทุกคนจะได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ได้ทุกเรื่อง แล้วก็ทุกๆอย่าง คนที่เขาสำเร็จในเรื่องที่พวกเราทำไม่ได้ เขาก็ย่อมไม่มีในหลายสิ่งที่พวกเรามี…แม้กระนั้นหากคิดแค่ว่าเราไม่มีอะไรเลย ไม่ได้อะไรสักเรื่อง ไม่เจริญสักอย่าง แล้วยังมองดู ยังอ้างแม้กระนั้นเรื่องความจำกัด ประโยคนี้ที่เขาว่า “มีไว้กำจัดพวกขี้แพ้” นั้น มันก็จะต้องเป็นจริง…นี่คุณ

น้อง ช. นางได้สามีฐานะดี มองสบายไปเลยเนอะ” หญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“เอ… นางก็เก่งนะ เห็นเปิดร้าน มีทำมีขายอะไรตั้งหลายแบบ” เพื่อนฝูงอีกคนพูดขึ้นมา
“แหม โนว์ ฮาว ไม่เท่า โนว์ องค์การอนามัยโลก นะ ยู ค่ะ..”

หญิงคนเดิมตอบกลับ..ผมได้ยินบทสำหรับพูดระหว่างคอยพี่สาวไปพบหมอที่โรงหมอ อย่างมิได้ตั้งใจสาระแน (จริงๆนะ 😛) แม้กระนั้นก็ทำให้รำลึกถึงประโยคนี้จริงจังขึ้นมาและก็เป็นเรื่องราวเล่าสู่ ประสาข้อคิดเห็นอีกหนึ่งตอน
Know How ไม่เท่า Know Whoคำนี้ทั่วไปจะหมายถึง “ทราบอะไร

ไม่สู้ รู้จักคนใดกันแน่” ส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นคำบอกเล่าเชิงสะท้อนสังคมไทยคล้าย

กับว่า แม้ว่าจะเก่ง จะมีความรู้ความสามารถมากมาย แต่ว่าไม่มีพรรคพวก ไม่มีเส้นสาย ที่เด็ด บ้านผลบอล ผลบ้านบอล ไม่รู้ใคร ก็ทำอะไรได้ลำบากหรือจะเป็นในมุมที่ว่า การได้คบหา หรือได้อยู่กับผู้ที่มีอำนาจ มั่งคั่ง

ก็บางทีอาจสำเร็จผลดีจากคนเหล่านั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมเสมือน น้อง ช. ในบทพูด ถึงแม้ดูได้ว่าไม่ได้พึ่งพาอาศัยเพียงแค่เงินผัว อุตสาหะทำมาหากิน แม้กระนั้นวงสังคม หรือคอนเนคชั่น (Connection) จากสามี ก็ส่งผลให้ทำอะไรได้สะดวกกว่าคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องน้อง ช. จะจริงหรือไม่อันนี้ผมไม่เคยทราบครับผม 😅จะว่าไปก็คล้ายเป็นเรื่องเก่า เพราะเหตุว่าคำว่า เด็กเส้น, เด็กฝาก,

คนของนาย พวกเราได้ยินกันมานาน จนแปลงเป็นธรรมดาและสารภาพกันในหลายส่วนของสังคม..เป็นธรรมไหม? ข้อดีที่มีอยู่?การมีความรู้และมีความเข้าใจ Know How คงจะไม่คือปัญหาอะไร เพราะมันก็จำ

เป็นต้องเริ่มจากการพยายามเรียนกล่าวโทษรู้ แต่ว่า Know Who จะไปรู้จักใครกันแน่ คนไม่ใช่น้อยเห็นว่ามันคือความเป็นต่อ เป็นต้นว่า เกิดมานามสกุลอะไร อยู่ในสังคมไหนที่บางคราวมันเลือกไม่ได้ มันก็เลยไม่เสมอภาค

จนถึงทัศนคติที่ว่าไม่มีเงินเขาไม่คบ ก็ว่ากันไปตามแต่ละบริบท เพราะเหตุว่าอาจทั้งจริงและไม่จริงมันอาจไม่แฟร์ถ้าเกิดมองเชิงแข่ง หรือเปรียบในบางครั้งเดียว อย่างเช่น การสอบเข้าบางพื้นที่ มุมคนผิดหวังอาจจะต้องรู้สึกไม่ดีต่อหัวข้อนี้ แต่หากพินิจพิเคราะห์ดีๆถ้าหากเป็นสถานศึกษา ก็มีเป็นส่วนน้อยที่ได้เข้าไปด้วยเส้นสายไม่งั้นอาจไม่มีคุณภาพ แม้เกิดเรื่องการงาน

องค์กรนี้ก็อาจไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่ โชคร้ายแม้กระนั้นเช่นไร ถ้าที่ใดมีแม้กระนั้นผู้ที่ Know Who แค่รู้จัก ที่นั่นคงจะยากจะเติบโต เจริญก้าวหน้า อย่างไรก็ควรจะมีคนเก่ง คนมีความรู้ความเข้าใจอยู่ด้วย (บางคนพูดว่า ใช่! หน่วยงานราชการก็เลย

ไม่ค่อยเจริญก้าวหน้ายังไงล่ะ อันนี้สุดแท้แต่พิเคราะห์ แค่อย่าเพิ่งเหมารวมแล้วกัน)ใจความสำคัญที่จะพูดถึงเป็นแง่การแข่งขันชิงชัยเข้าที่เข้าทางใดที่เขามีระบบ “รู้จัก” ถ้าหากเราเกลียดชังมันก็ไม่เหมาะกับพวกเรา บางคราวปัญหาแรกมันบางทีอาจไม่ใช่เราไม่ Know Who แม้กระนั้นวิชาความรู้ Know How เรามีไม่พอต่างหาก…

Know How กับ Know Who มันบางทีอาจจะคู่กัน..โดยรวมแล้วผลประโยชน์

ในหลายด้านเราอาจจะกล่าวว่ามันเป็น“สิทธิ์” หนึ่งที่พึงจะได้มาของแต่ละคน เหมือนที่

กล่าวไปว่าการประเมินสอบแข่งขันไม่มีวันที่คนที่สอบได้คะแนนที่ 1

หรือลำดับที่หนึ่งจะถูกเอาออกแน่นอน ก็ถ้าเกิดไม่เอาที่ 1 หรืออันดับดีๆเข้าไป ก็หมายความว่า สิทธิ์ อันนั้นไม่ได้สำคัญอันใดเลย (ไม่น่าเสียดาย) คนจำนวนไม่น้อยอ่านแล้วบางทีอาจยังสงสัย สรุปอีกครั้งก็คือ ถ้าหากสอบแล้วไม่เอาคะแนน ก็หมายความว่าสอบไปถ้าอย่างนั้นๆที่จริงเอาผู้ใดกันแน่ไปก็ได้ เลยเลือกเอาคนรู้จักกันไปแทน รวมทั้งมันสะท้อนว่าตำแหน่ง

หรือสิทธิ์ที่ตรงนั้นคงจะไม่มีความสำคัญอะไร ถ้าสำคัญก็อาจจะอยากได้คนดีๆคนเก่งๆไปอยู่ตรงนั้นแต่ปัญหาอีกแบบของการ “ได้สิทธิ์” ก็ดังเช่น มีโค้วต้า 10 คน แม้กระนั้นแปลงเป็นว่าได้น่าฟังสอบ 7 รวมทั้งอีก 3

มาจาก “คนอื่น” แบบงี้คนที่ 8-9-10 ตัวจริงย่อมรู้สึกไม่แฟร์แต่เชื่อไหมว่า 3 คนนั้นมีลักษณะท่าทางจะอยู่ไม่นาน ด้วยเหตุว่าไม่ถนัด, ไม่ได้ปรารถนาจริง, บ้างก็ไม่ได้เห็นคุณค่าตรงนั้น หรือ อยู่ปราศจากความสุข

ไม่ใช่ด้วยเหตุว่าคนไม่ชอบแต่ว่าไม่เก่งย่อมไม่เจริญรุ่งเรือง และก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไร เว้นแต่.. เขาจะมี Know How ที่ดียิ่งขึ้นมาในตรงนั้นจะ Know How หรือ Know Who มองเป็นเพียงจุดเริ่มเวลาที่คนเก่งแบบอันดับ 1-2 ถ้าไปอยู่ ณ จุดใด แต่ว่าหากไม่เอาใครกันแน่เลย ไม่รู้ใครกันแน่เขาเลยแบบนี้ก็ทุกข์ยากลำบาก

เนื่องจากส่วนมากการร่วมงานมันก็สำคัญ เข้ามาเป็นอันดับที่หนึ่ง แม้กระนั้นมิได้แปลว่าจะอยู่เดียว มันจำต้องเกี่ยวพันกับคนอื่น ส่วนอื่นอยู่ดี ทั้งคู่มุมที่กล่าวมานี้บางคราว จะ Know How หรือ Know Who ดูเป็นเพียงแต่จุดเริ่มต้น

จะอยู่ดี อยู่ได้ เจริญหรือเปล่ามันก็ต้องไปได้ดีร่วมกันทั้งคู่ อีกทั้งรู้คนและก็รู้เรื่องรู้ราว (วิชาความรู้)ดูลึกไปอีก Know How อาจสำคัญกว่า เพราะเหตุว่าเส้นสายก็ใช้ได้เพียงแค่ระดับหนึ่งถ้าไม่มีความสามารถเลยมันไปไม่ได้

ลองคิดดูว่า เจ้าของบริษัทใหญ่หลายแห่งที่มีอำนาจเต็มจะเอาผู้ใดมาดำเนินการก็ได้ เพราะเหตุไรไม่เลือกเพียงแค่ทายาท ลูกหลานมาบริหาร ว่าจ้างคนอื่นๆมาทำไม? เนื่องจากเพียงแค่ความสัมพันธ์มันไม่เพียงพอไงล่ะ
(แต่ว่าก็มีนะที่มานะเอาลูกหลานเข้ามา “ลอง”

จนมากไป ดูแล้วอาจกลายเป็นพังคามือ ถ้าพวกเราอยู่ร่วมที่ตรงนี้ดูแลเพียงแค่ตัวเองแล้วกัน อย่าลืมว่านี่มันไม่ใช่ธุรกิจการค้าคุณ…)อีกด้านของการรู้จัก (Khow Who)ผมมิได้กำลังเขียนให้ยอมรับระบบอะไร

 

แม้กระนั้นให้ทำความเข้าใจในบางมุม การได้ประโยชน์จากการรู้จัก (Khow Who)

ก็ไม่ง่าย เพราะเหตุว่าเขาที่พวกเรารู้จักนั้น ย่อมจำเป็นต้องรู้จักคนอื่นๆอีกคนไม่ใช่น้อย ดังเช่น การจะเป็นเด็กฝาก ก็ใช่ว่าจะไม่มีการประลอง เด็กฝากย่อมมีมากกว่า 1 คน ทีนี้ก็สังกัดว่าฝากผู้ใดกันแน่อีก ฝากหัวหน้ามา 5 คน

ฝากรองมา 8 คน ฝากเลขามา 10 คน แล้วท้ายที่สุดฝากได้ผู้เดียว (เอาผู้เดียว) มันก็ไม่ง่ายเช่นกัน…อีกด้านหนึ่งหากพวกเราไม่ดูคำว่า “รู้จักผู้ใด” เพียงแค่ในทางแค่คนมีเงิน มีอำนาจ จะเห็นว่าแท้จริงมันสำคัญ

เพราะว่ามันเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อม คล้ายประโยคที่ว่า “พวกเราจะเป็นคนเหมือนคนที่พวกเราใกล้ชิดด้วย 5 คนรวมกัน”* ลองคิดตามมองก็อาจจะจริงไม่น้อย ถ้าเกิดเราสนิทกับนักแข่งรถตั้ง 5

 

คน เราก็คงเพียงพอมีความรู้เพียงพอเป็นนักแข่งขันได้บ้างแหละ


(*“You’re The Average Of The Five People You Spend The Most Time With” : Jim Rohn แปลตรงตัวกว่าก็คือ พวกเราจะเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยเยอะที่สุด)แต่ว่าก็ใช่แง่ว่าเราจะต้อง

เป็นแบบเขาแค่นั้นนะ เช่น หากคุณเป็นนักวาดรูป ที่สนิทกับนักขาย 5 คน ย่อมมีใครสักคนเอาภาพคุณไปขายให้ได้ราคาแน่นอน ในอีกด้าน คุณเป็นนักวาดภาพไส้แห้ง

(ขายไม่ได้) ที่สนิทกับนักวาดรูปไส้แห้งเช่นเดียวกันอีก 5 คน คุณอาจพูดคุยกันถูกคอเรื่องรสนิยม วิจารณ์งานศิลป แต่มันจะยากที่ใครสักคนจะเสนอแนะคนไหนกันให้รุ่งโรจน์ได้ด้วยการวาดภาพ ด้วยเหตุว่าไม่เช่นนั้นคนนั้นอาจไม่ไส้แห้งเหมือนกันกับเรา.

.อีกด้านหนึ่ง ถ้าเราใช้เวลาไปกับคนที่มักจะทำเรื่องใดในทางที่ไม่ค่อยดี มันก็เป็นได้ 2 ทางคือ เราเลิกสนิทห่างจากคนนั้น กับลองตามเขาไป ยกตัวอย่างเช่น คลุกคลีกับเซียนพนันออนไลน์ พวกเราบางทีอาจเล่นด้วย หรือไม่ก็รู้สึกว่าห่างเขาไปดียิ่งกว่าสุดท้ายก็ไม่นับว่า “พวกเราสนิทด้วยแล้ว” เขาก็ไม่เปลี่ยนเป็น 1 ใน 5

กลับหน้าหลัก

Post Author: Zachary Morgan